วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

เทศโนโลยีสารสนเทศ

1.โทรศัพท์

           โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ (และมีการเรียก วิทยุโทรศัพท์คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการสื่อสารสองทางผ่าน โทรศัพท์มือถือใช้คลื่นวิทยุในการติดต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือโดยผ่านสถานีฐาน โดยเครือข่ายของโทรศัพท์มือถือแต่ละผู้ให้บริการจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายของโทรศัพท์บ้านและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของผู้ให้บริการอื่น โทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นในลักษณะคอมพิวเตอร์พกพาจะถูกกล่าวถึงในชื่อสมาร์ตโฟน
            โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันนอกจากจากความสามารถพื้นฐานของโทรศัพท์แล้ว ยังมีคุณสมบัติพื้นฐานของโทรศัพท์มือถือที่เพิ่มขึ้นมา เช่น การส่งข้อความสั้นเอสเอ็มเอส ปฏิทิน นาฬิกาปลุก ตารางนัดหมาย เกม การใช้งานอินเทอร์เน็ต บลูทูธ อินฟราเรด กล้องถ่ายภาพ เอ็มเอ็มเอส วิทยุ เครื่องเล่นเพลงและ จีพีเอส
            โทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องแรกถูกผลิตและออกแสดงในปี พ.ศ. 2516 โดย มาร์ติน คูเปอร์ (Martin Cooper) นักประดิษฐ์จากบริษัทโมโตโรลา เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักประมาณ 1.1 กิโลกรัม ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2543 ที่มีจำนวน 12.4 ล้านคน มาเป็น 4,600 ล้านคน

วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือ

1G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ analog ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น NMTAMPS, DataTac
2G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น GSMcdmaOnePDC
2.5G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ที่เริ่มนำระบบ packet switching มาใช้ ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น GPRS
2.75G ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น CDMA2000 1xRTTEDGE
3G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ที่มีความสามารถครบทั้งการสื่อสารด้วยเสียงและข้อมูลรวมถึงวิดีโอ ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น W-CDMATD-SCDMACDMA2000 1x-EVDO
3.5G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้นกว่า 3G เช่น HSDPA ใน W-CDMA
4G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ Real-Digital สามารถเชื่อมต่อข้อมูล แบบ ภาคพื้นดิน CDMA PA-H และการเชื่อมต่อ ewifi และ Wi-Max เพื่อการเชื่อมภาพและเสียงเป็นข้อมูลเดียวกัน


ส่วนแบ่งการตลาด
ผู้ผลิตมือถือ
ที่มา
สถิติเมื่อ
อื่นๆ
อ้างอิง
IDC
ไตรมาสที่ ปี 2553
36.6%
21.8%
9.2%
3.6%
3.6%
25.3%
Gartner
ไตรมาสที่ ปี 2553
35.0%
20.6%
8.6%
3.4%
3.1%
29.3%
IDC
ไตรมาสที่ ปี 2554
24.2%
19.2%
6.8%
n/a
n/a
n/a
Gartner
ไตรมาสที่ ปี 2554
22.8%
16.3%
5.7%
n/a
n/a
na

ระบบปฏิบัติการมือถือ
ที่มา
สถิติเมื่อ
อื่นๆ
รวม
อ้างอิง
IDC
ไตรมาสที่ ปี 2553
40.1%
17.9%
16.3%
14.7%
6.8%
4.2%
100%
Inw
ไตรมาสที่ ปี 2554
19.2%
13.4%
38.5%
19.4%
5.6%
3.9%
100%

ผลกระทบต่อสุขภาพ

                ความเชื่อที่ว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาวนั้น ปัจจุบันได้รับการยืนยันจากองค์การอนามัยโลกแล้ว โดยองค์การฯ ได้บรรจุโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้ในรายชื่อวัตถุก่อมะเร็ง ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ออกรายงานเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 โดยจัดว่ารังสีโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็น "วัตถุก่อมะเร็ง" และ "อาจก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์" ได้ รายงานดังกล่าวออกมาหลังจากทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ทบทวนการศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยของโทรศัพท์เคลื่อนที่ งานวิจัยหนึ่งว่าด้วยการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในอดีตนั้นได้ถูกอ้างอิงในรายงานซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างหนักจะมีความเสี่ยงเป็นเนื้องอกในสมองมากขึ้นถึง 40% (รายงานการใช้โดยเฉลี่ย 30 นาทีต่อวัน เป็นเวลาติดต่อกันนานกว่า 10 ปี) ซึ่งรายงานดังกล่าวตรงกันข้ามกับการสรุปก่อนหน้านี้ซึ่งไม่คาดว่ามะเร็งจะเกิดขึ้นเป็นผลมาจากโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือสถานีฐาน และการทบทวนดังกล่าวไม่ได้พบหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพด้านอื่นแต่อย่างใด

ผู้จัดทำ 5310122532005



2.จีพีเอส

                
                  ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก หรือ จีพีเอส (อังกฤษ: Global Positioning System: GPS) คือระบบบอกตำแหน่งบนพื้นผิวโลก โดยอาศัยการคำนวณจากความถี่สัญญาณนาฬิกาที่ส่งมาจากดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบโลกซึ่งทราบตำแหน่ง ทำให้ระบบนี้สามารถบอกตำแหน่ง ณ จุดที่สามารถรับสัญญาณได้ทั่วโลก โดยเครื่องรับสัญญาณจีพีเอส รุ่นใหม่ๆ จะสามารถคำนวณความเร็วและทิศทางนำมาใช้ร่วมกับโปรแกรมแผนที่ เพื่อใช้ในการนำทางได้

                แนวคิดในการพัฒนาระบบจีพีเอส เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1957 เมื่อนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา นำโดย Dr. Richard B. Kershner ได้ติดตามการส่งดาวเทียมสปุตนิกของโซเวียต และพบปรากฏการณ์ดอปเปลอร์ของคลื่นวิทยุที่ส่งมาจากดาวเทียม พวกเขาพบว่าหากทราบตำแหน่งที่แน่นอนบนพื้นผิวโลก ก็สามารถระบุตำแหน่งของดาวเทียมได้จากการตรวจวัดดอปเปลอร์ และหากทราบตำแหน่งที่แน่นอนของดาวเทียม ก็สามารถระบุตำแหน่งบนพื้นโลกได้ ในทางกลับกัน

               

กองทัพเรือสหรัฐได้ทดลองระบบนำทางด้วยดาวเทียม ชื่อ TRANSIT เป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1960 ประกอบด้วยดาวเทียมจำนวน ดวง ส่วนดาวเทียมที่ใช้ในระบบจีพีเอส (GPS Block-I) ส่งขึ้นทดลองเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1978 เพื่อใช้ในทางการทหาร
                เมื่อ ค.ศ. 1983 หลังจากเกิดเหตุการณ์โคเรียนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 007 ของเกาหลีใต้ บินพลัดหลงเข้าไปในน่านฟ้าของสหภาพโซเวียต และถูกยิงตก ผู้โดยสาร 269 คนเสียชีวิตทั้งหมด ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนได้ประกาศว่า เมื่อพัฒนาระบบจีพีเอสแล้วเสร็จ จะอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปใช้งานได้

                ดาวเทียมจีพีเอส เป็นดาวเทียมที่มีวงโคจรระดับกลาง (Medium Earth Orbit: MEO) ที่ระดับความสูงประมาณ 20,200 กิโลเมตร (12,600 ไมล์ หรือ 10,900 ไมล์ทะเล) จากพื้นโลก ใช้การยืนยันตำแหน่งโดยอาศัยพิกัดจากดาวเทียมอย่างน้อย ดวง ดาวเทียมจะโคจรรอบโลกเป็นเวลา 12 ชั่วโมงต่อหนึ่งรอบ ที่ความเร็ว กิโลเมตร/วินาที การโคจรแต่ละรอบนั้นสามารถได้เป็น ระนาบๆ ละ ดวง ทำมุม 55 องศา โดยทั้งระบบจะต้องมีดาวเทียม 24 ดวง หรือมากกว่า เพื่อให้สามารถยืนยันตำแหน่งได้ครอบคลุมทุกจุดบนผิวโลก ปัจจุบัน เป็นดาวเทียม GPS Block-II มีดาวเทียมสำรองประมาณ 4-6 ดวง




ผู้จัดทำ 5310122532010


3.คอมพิวเตอร์ 



                คอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์ เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย

                          คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป

               หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่างๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่างๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน

                 คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit)โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินขับไล่ และของเล่นชนิดต่างๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
 ประวัติของการคำนวณโดยใช้คอมพิวเตอร์
มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "คอมพิวเตอร์" คือเมื่อ ค.ศ. 1613 ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ทำหน้าที่คาดการณ์ หรือคิดคำนวณ และมีความหมายเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มา ความหมายของคำว่าคอมพิวเตอร์นี้เริ่มมีใช้กับเครื่องจักรที่ทำหน้าที่คิดคำนวณมากขึ้น
คอมพิวเตอร์ยุคแรกที่มีฟังก์ชันจำกัด
ประวัติของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นั้นเริ่มต้นจากเทคโนโลยีสองชนิดที่แตกต่างกัน ได้แก่ การคำนวณโดยอัตโนมัติ กับการคำนวณที่สามารถโปรแกรมได้ (หมายถึงสร้างวิธีการทำงานและปรับแต่งได้) แต่ระบุแน่ชัดไม่ได้ว่าเทคโนโลยีชนิดใดเกิดขึ้นก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการคำนวณแต่ละชนิดนั้นไม่มีความสอดคล้องกัน อุปกรณ์บางชนิดก็มีความสำคัญที่จะเอ่ยถึง อย่างเช่นเครื่องมือเชิงกลเพื่อการคำนวณบางชนิดที่ประสบความสำเร็จและยังใช้กันอยู่หลายศตวรรษก่อนที่จะมีเครื่องคิดเลขอิเล็กทรอนิกส์ อาทิลูกคิดของชาวสุเมเรียนที่ถูกออกแบบขึ้นราว 2,500 ปีก่อนคริสตกาล ชนะการแข่งขันความเร็วในการคำนวณต่อเครื่องคำนวณตั้งโต๊ะเมื่อ ค.ศ. 1946 ที่ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาในคริสต์ทศวรรษ 1620 มีการประดิษฐ์สไลด์รูล ซึ่งถูกนำขึ้นยานอวกาศในภารกิจของโครงการอะพอลโลถึง ครั้ง รวมถึงเมื่อครั้งที่สำรวจดวงจันทร์ด้วย นอกจากนี้ยังมี เครื่องทำนายตำแหน่งดาวฤกษ์ (Astrolabe) และ กลไกอันติคือเธรา ซึ่งเป็นเครื่องคำนวณ (คอมพิวเตอร์) เกี่ยวกับดาราศาสตร์ยุคโบราณที่ชาวกรีกเป็นผู้สร้างขึ้นราว 80 ปีก่อนคริสตกาล ที่มาของระบบการสั่งการโปรแกรมเกิดขึ้นเมื่อ ฮีโรแห่งอเล็กซานเดรีย (c.10-70 AD) นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกสร้างโรงละครที่ประกอบด้วยเครื่องจักร ใช้แสดงละครความยาว 10 นาที และทำงานโดยมีกลไกเชือกและอิฐบล็อกทรงกระบอกที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถตัดสินใจเลือกได้ว่าจะชิ้นส่วนกลไกใดใช้ในการแสดงฉากใดและเมื่อใด
ราวๆ ปลายศตวรรษที่ 10 สมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่ 2 นักบวชชาวฝรั่งเศส ได้นำลิ้นชักบรรจุอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่จะตอบคำถามได้ว่าใช่ หรือ ไม่ใช่ เมื่อถูกถามคำถาม (ด้วยเลขฐานสอง)[11] ซึ่งชาวมัวร์ประดิษฐ์ไว้กลับมาจากประเทศสเปน ในศตวรรษที่ 13 นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส และโรเจอร์ เบคอน นักปราชญ์ชาวอังกฤษ ได้สร้างหุ่นยนต์แอนดรอยด์ (android) พูดได้ โดยไม่ได้พัฒนาใดๆ ต่ออีก (นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส บ่นออกมาว่าเขาเสียเวลาเปล่าไป 40 ปีในชีวิต เมื่อนักบุญโทมัส อควีนาสตกใจกับเครื่องนี้และได้ทำลายมันเสีย) 
ในปี ค.ศ. 1642 แห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา มีการประดิษฐ์เครื่องคำนวณของปาสคาลซึ่งเป็นเครื่องคำนวณตัวเลขเชิงกล เป็นอุปกรณ์ที่จะสามารถคำนวณโดยใช้ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์โดยไม่ต้องพึ่งสติปัญญามนุษย์ เครื่องคำนวณเชิงกลนี้ยังถือเป็นรากฐานของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ในสองทาง แรกเริ่มนั้น ความพยายามที่จะพัฒนาเครื่องคำนวณที่มีสมรรถภาพสูงและยืดหยุ่น ซึ่งทฤษฎีนี้ถูกสร้างโดยชาร์ลส แบบเบจ และได้รับการพัฒนาในเวลาต่อมา นำไปสู่การพัฒนาเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่) ขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1960 และในขณะเดียวกัน อินเทล ก็สามารถประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเป็นหัวใจสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์หากไม่คำนึงถึงขนาดและวัตถุประสงค์ ขึ้นได้โดยบังเอิญ ระหว่างการพัฒนาเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ บิซิคอม ที่พัฒนาสืบต่อจากเครื่องคำนวณเชิงกลโดยตรง

ประเภทของคอมพิวเตอร์



        ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่มาก (very large scale integrated circuit) ซึ่งสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าสิบล้านตัว เราสามารถแบ่งคอมพิวเตอร์ในรุ่นปัจจุบันออกเป็น ประเภทดังต่อไปนี้
        1.ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคำนวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจำสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน
  
         2.เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ำกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมีความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถให้บริการผู้ใช้จำนวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะนั้น จึงสามารถใช้โปรแกรมจำนวนนับร้อยแบบในเวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่องเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จากทั่วโลก ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ๆ เช่น ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทำบัญชีลูกค้า หรือการให้บริการจากเครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine) เนื่องจากเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก
มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)
มินิคอมพิวเตอร์ คือ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งานได้หลายคนพร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจำนวนที่เทียบเท่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ จึงทำให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลาง หรือสำหรับแผนกหนึ่งหรือสาขาหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น

          3.ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer หรือ PC)
ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop computer) หรือขนาดเล็กกว่านั้น เช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกระทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะสำหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบสำหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และสำนักงานสำหรับที่บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทำงบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทำการบ้านของลูกๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail หรือ E - mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สำหรับที่โรงเรียน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสำหรับที่สำนักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่นๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทำนายยอดซื้อขายล่วงหน้า
โน้ตบุ๊ค (notebook or laptop)
โน้ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา ในปัจจุบันมีขนาดพอๆกับสมุดที่ทำด้วยกระดาษ
เน็ตบุ๊ค (netbook or laptop)
เน็ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และเล็กกว่าโน้ตบุ๊ค ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา
อัลตร้าบุ๊ค (Ultrabook)
อัลตร้าบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และมีขนาดเท่ากับโน้ตบุ๊ค ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ และน้ำหนักเบากว่าโน้ตบุ๊ค และเน้นความสวยงาม ทันสมัย แปลกใหม่

           4.แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ (tablet computer)
แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า แท็บเล็ต คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ในขณะเคลื่อนที่ได้ ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก มีคีย์บอร์ดเสมือนจริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุมถึงโน๊คบุ๊คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุนหรือแบบสไลด์ก็ตาม 

ตัวอย่างประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์มีประโยชน์กับเรามากมาย เช่น
การใช้งานภาครัฐ งานทะเบียนราษฎร์ของรัฐบาล เช่น การแจ้งเกิด ตาย ย้ายที่อยู่ การทำบัตรประจำตัวประชาชน งานภาษี เช่น ยื่นแบบประเมินภาษีภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต เก็บทะเบียนประวัติผู้เสียภาษี ตรวจสอบการเสียภาษี
งานสายการบิน การสำรองที่นั่งผู้โดยสาร การลดงานเอกสาร
ทางด้านการศึกษา สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเรียนออนไลน์ให้กับผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
ธุรกิจการนำเข้าสินค้าและส่งออก การทำธุรกิจแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ธุรกิจธนาคาร ช่วยด้านงานข้อมูลธนาคาร รับ-จ่ายเงิน เก็บประวัติลูกค้า ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ
วิทยาศาสตร์และการแพทย์ การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาของคนไข้ วิจัย คำนวณ และ การจำลองแบบ
งานสถาปนิก ช่วยออกแบบ เขียนแบบ หรือทำแบบจำลองสามมิติ
งานภาพยนตร์ การ์ตูน แอนิเมชัน ช่วยสร้างตัวการ์ตูนเคลื่อนไหว ออกแบบตัวการ์ตูน จำลองตัวการ์ตูนสามมิติ การตัดต่อภาพยนตร์
งานด้านสถิติ ช่วยเก็บบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ จำลองแบบข้อมูล และการเผยแพร่ข้อมูล
ด้านนันทนาการ ช่วยให้ความบันเทิง ดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ เล่นเกม

ผู้จัดทำ 5310122532011

4.กล้องดิจิตอล






นับตั้งแต่ที่มีการคิดค้นการถ่ายภาพจนปรากฏภาพถ่ายแรกของโลกที่เรารู้จักและมีหลักฐานมาถึงวันนี้ในปี ค.ศ. 1825 หรือเกือบ 200 ปีมาแล้ว กล้องถ่ายภาพมี วิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาอย่างช้าๆ 



เริ่มจากกล้องสำหรับผู้ใช้ทั่วๆไปตัวแรกของโลก คือ Daguerrotype ในปี ค.ศ. 1839 จำหน่ายในราคาประมาณ 50 ดอลล่าร์สหรัฐ 



กระทั่งปี 1900 หรือประมาณหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา โกดักก็เปิดตัวกล้องถ่ายภาพรุ่น Brownie สามารถโหลดฟิล์มได้ และมีช่องมองภาพเป็นอุปกรณ์เสริมใส่ไว้ทางด้านบน ราคากล้องรุ่นนี้เพียง ดอลล่าร์สหรัฐได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ก็เป็นกล้องที่หายากมากในปัจจุบันการ

ถ่ายภาพระบบดิจิตอลถือกำเนิดขึ้นเมื่อมีการคิดค้น CCD สำหรับใช้บันทึกในกล้องวิดีโอเมื่อปี ค.ศ. 1970 ถัดมาอีกเพียงปีเดียวก็มีการส่งข้อความทาง อีเมล์เป็นครั้งแรกของโลก โดย Ray Tomlinsn

ในปี 1974 ก็มีการใช้เทคโนโลยี CCD ร่วมกับกล้องเทเลสโคบขนาด นิ้ว บันทึกภาพดวงจันทร์ด้วยระบบดิจิตอลเป็นภาพแรกที่ความละเอียด 100 x 100 พิกเซล


ปี 1976 Canon ได้ประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพ 35 มม. SLR ตัวแรกของโลกที่มีไมโครโปรเซสเซอร์รุ่น AE-1 สำหรับการประมวลผลและควบคุมการทำงาน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกล้องระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์แบบในวันนี้ อีกห้าปีต่อมา Pentax ก็ผลิตกล้องรุ่น ME-F ที่ใช้เลนส์ออโต้โฟกัสในกล้อง SLR เป็นตัวแรกของโลก 



ปี 1981 Sony เปิดตัวกล้องถ่ายภาพที่ถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ ถ่ายภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ต้องใช้ฟิล์ม แต่ยังไม่ใช่กล้องดิจิตอล เป็นเพียงกล้องโทรทัศน์หรือกล้องภาพนิ่งวิดีโอ จัดเก็บภาพด้วยแผ่นฟล็อปปี้ดิสก์ขนาด นิ้ว ใช้ชื่อว่า Sony Mavica (Megnetic Video Camera) บันทึกด้วย CCD ให้ภาพที่มีความละเอียด 570 x 490 พิกเซล (ขนาดของชิพคือ 10 x 12 มม.) ความไวแสงเทียบเท่า ISO 200 ปี



1984 Canon ได้ทดลองใช้กล้องภาพนิ่งวิดีโอระดับมืออาชีพเป็นครั้งแรกในโอลิมปิกที่ลอสแองเจอลิส หลังจากบันทึกภาพแล้วมีการส่งภาพกลับไปที่ประเทศญี่ปุ่นผ่านทางสายโทรศัพท์ในเวลาที่ต่ำกว่า 30 วินาที จากนั้นก็พิมพ์เป็นภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ Yomiuri ซึ่งพิมพ์ออกจำหน่ายในขณะที่การแข่งขันยังไม่เสร็จสิ้น สร้างความฮือฮาได้เป็นอย่างมาก
ปี 1986 หรืออีกสองปีต่อมา Canon ก็ผลิตกล้องภาพนิ่งวิดีโอออกจำหน่ายให้กับนักถ่ายภาพมืออาชีพเป็นครั้งแรก ในรุ่น RC-701 โดยมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ช่างภาพข่าวเป็นหลัก ช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น โดยชื่อรุ่น RC มาจากคำว่า   Realtime Camera หรือกล้องที่ได้ภาพทันทีนั่นเอง มีเลนส์ซูมขนาด 11-66 มม. f/1.2 ราคา 3,000 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่ถ้ารวมอุปกรณ์รับส่งภาพทางสายโทรศัพท์ครบชุดจะมีราคา 27,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ขนาดของ CCD คือ 6.6 x 8.8 มม. ความละเอียด 187,200 พิกเซล ถ่ายภาพต่อเนื่องได้เร็ว 1-10 เฟรม/วินาที ถอดเปลี่ยนเลนส์ได้และกล้องรุ่นนี้ได้ถูกช่างภาพข่าว Tom Dillon ของหนังสือพิมพ์ USA Today ถ่ายภาพและตีพิมพ์เป็นภาพข่าวสีภาพแรกที่บันทึกด้วยกล้้องภาพนิ่งวิดีโอ โดยบรรณาธิการภาพข่าวได้เห็นภาพดังกล่าวหลังจากที่ช่างภาพบันทึกไปแล้วในเวลาเพียง 12 นาทีเท่านั้น ทางสมาคมนักข่าวของอเมริกาเล็งเห็นประโยชน์ของภาพดิจิตอลกับงานข่าวจึงวางแผนที่จะเปลี่ยนการส่งภาพข่าวจากระบบอะนาล็อกมาเป็นดิจิตอลเพราะช่วยประหยัดเวลาในการส่งภาพได้ถึง 90% ทีเดียว


ปี 1987 Minolta ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการออกแบบดิจิตอลแบคสำหรับใช้กับกล้องรุ่น 7000 และ 9000 ซึ่งเป็นกล้องใช้ฟิล์ม โดยใช้ CCD รับภาพขนาด 2/3 นิ้ว ความละเอียด 640 x 480 พิกเซลในชื่อรุ่น Minolta SB-70S และSB-90S

นับจากนั้นเป็นต้นมาผู้ผลิตกล้องถ่ายภาพและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างให้ความสนใจและผลิตกล้องถ่ายภาพนิ่งวิดีโออย่างต่อเนื่อง เช่น โอลิมปัสผลิตกล้องรุ่น V-100 ในปี 1987 ใช้ CCD ขนาด 1/2 นิ้ว ความละเอียด 360 K เลนส์ซูม 9-27 มม. f/2.8 ความไวแสง ISO 100 ปี 1988 Fujifilm ผลิตกล้องภาพนิ่งวิดีโอ รุ่น DS-1P ที่จัดเก็บภาพด้วยการ์ดดิจิตอลแทนที่แผ่นฟล็อปปี้ดิสก์เป็นครั้งแรกด้วย CCD ความละเอียด 400K เลนส์ 16 มม. f/5.6
ต่อมาภาพอิเล็กทรอนิกส์เริ่มมีความละเอียดที่สูงขึ้น จึงมีการกำหนดมาตรฐานของไฟล์ภาพเพื่อให้มีขนาดที่เล็กลง ใช้เนื้อที่การจัดเก็บน้อยและส่งภาพได้รวดเร็วขึ้น โดย Joint Photographic Expert Group มีชื่อย่อว่า JPEG กำหนดมาตรฐานนี้ในปี 1988


ปี 1991 NiKon ผลิตกล้องภาพนิ่งวิดีโอแบบ SLR เป็นครั้งแรกในจำนวน 100 ชุด ใช้เซ็นเซอร์ CCD ขนาด2/3 นิ้ว ความละเอียด 380 K ความไวแสง ISO 400-1600 เลนส์ซูม 10-40 มม. f/1.4 หรือเลนส์เม้าท์ ร่วมกับอะแดปเตอร์ บันทึกภาพแบบโมโนโครมหรือขาวดำ ราคา 20,300 US

ปี 1990 Logitech FotoMan ได้ผลิตกล้องดิจิตอลเป็นตัวแรกของโลกในชื่อรุ่น   Dycam Model 1 บันทึกภาพขาวดำได้ 32 ภาพ เก็บไว้ในหน่วยความจำขนาด 1 MB ที่อยู่ในตัวกล้อง ด้วยเซ็นเซอร์ภาพ CCD ขนาด 1/3 นิ้ว ให้ขนาดภาพ 376 x 240 พิกเซล เลือกฟอร์แมทภาพได้ แบบ คือ TIFF หรือ PICT เลนส์ขนาด มม. มีแฟลชในตัว สามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์พีซีเพื่อโหลดภาพได้


ปี 1990 ในงาน Photokina โกดักได้เรียกความฮือฮาให้กับวงการถ่ายภาพอาชีพ ด้วยการเปิดตัวกล้องดิจิตอลรุ่น DCS-100 เป็นกล้อง SLR ที่นำเอาNikon F3 มาดัดแปลงวางจำหน่ายในปี 1991 ด้วยราคา 30,000 ดอลล่าร์สหรัฐ กล้องรุ่นนี้ใช้เซ็นเซอร์ CCD ความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซล ขนาดภาพใหญ่สุด 1024 x 1280 พิกเซล ซึ่งถือว่าสูงมากในยุคนั้น จุดเด่นของกล้องรุ่นนี้คือใช้คุณสมบัติของกล้อง F3 ซึ่งเป็นกล้อง SLR ระดับมืออาชีพ ความไวในการรับแสงเทียบเท่า ISO 100 ใช้เลนส์เม้าท์ Nikon ถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ปรับโฟกัสแบบแมนนวล การใช้งานต้องต่อสายเคเบิลเข้ากับชุดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ภายนอกที่มีหน่วยความจำขนาด 200 MB มีให้เลือก รุ่นคือบันทึกภาพสีและขาวดำ ชุดอุปกรณ์ภายนอกมีปุ่มควบคุมการทำงานและจอมอนิเตอร์ขาวดำ ทำให้เห็นภาพได้ทันทีหลังจากถ่ายภาพไปแล้ว โดยซูมขยายภาพเพื่อดูรายละเอียดต่างๆได้ด้วย

ปี 1991 โกดัก เปิดตัวดิจิตอลแบคสำหรับกล้องขนาดกลาง Hasselblad เพื่องานถ่ายภาพในสตูดิโอแทนการใช้ฟิล์ม โดยใช้กับกล้องรุ่น 553 ELX ที่มีมอเตอร์ในตัวใช้เซ็นเซอร์ CCD ความละเอียดสูง ขนาดภาพที่ได้คือ 2048 x 2048 พิกเซล ความไวแสง ISO 300 ชัตเตอร์ 1-1/125 วินาที แสดงสีได้ 14 บิต/สี ใช้อินเทอร์เฟสแบบ SCSI 2 เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่น Quadra

ปี 1992 โกดัก เปิดตัวกล้องดิจิตอล SLR ใหม่อีกครั้งใน Photokina โดยใช้บอดี้ Nikon F801s ที่เป็นกล้องระบบออโต้โฟกัส กล้องรุ่นนี้มีฮาร์ดไดรว์ที่ใช้จัดเก็บภาพในตัว ขนาดจึงดูใหญ่โตโดยมีฐานบอดี้ที่สูงขึ้นมาก มีให้เลือก รุ่น   คือ DCS 200C ถ่ายภาพสีและ DCS 200M ถ่ายภาพขาวดำ ความละเอียด 1.54 ล้านพิกเซล ใช้ได้กับเลนส์และแฟลชของ Nikon แต่ต้องคูณทางยาวโฟกัสเพิ่มเนื่องจาก CCD มีขนาดเล็กมาก หากใช้เลนส์ 28 มม. จะเทียบเท่ากับเลนส์ 80 มม.ของกล้อง 35 มม. ความไวแสง ISO 50-400 สำหรับภาพสีและ ISO 100-800 สำหรับกล้องขาวดำ

ปี 1994 Apple Computer ได้สร้างความตื่นตัวให้กับวงการถ่ายภาพด้วยการเปิดตัวกล้องดิจิตอลรุ่นแรกของโลกที่ออกแบบสำหรับผู้ใช้ทั่วๆไป ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่กว่ากลุ่มผู้ใช้มืออาชีพมาก ใช้ชื่อรุ่นว่า Apple Quick Take 100 ราคาจำหน่ายเพียง 749 ดอลล่าร์สหรัฐ (เวลานั้นค่าเงินบาทไทยประมาณ 25บาท/ดอลล่าร์สหรัฐ) ใช้เซ็นเซอร์ CCD ความละเอียด 640 x 480 หรือประมาณสามแสนพิกเซล เปิดชมภาพจากคอมพิวเตอร์พีซีได้เต็มจอมอนิเตอร์พอดี เลนส์มีขนาดคงที่ 50 มม. มีแฟลชในตัวจัดเก็บภาพด้วยหน่วยความจำในตัวกล้อง



      

      ปีเดียวกันโกดักก็เปิดตัวกล้องดิจิตอล SLR รุ่นใหม่ NC 2000 ใช้บอดี้Nikon F90 ซึ่งเป็นกล้องออโต้โฟกัสระดับมืออาชีพ ออกแบบมาสำหรับนักข่าวโดยเฉพาะ ใช้ CCD ขนาดภาพ 1024 x 1280 พิกเซล ความไวแสงเทียบเท่า ISO 200-1600 ทำให้วงการหนังสือพิมพ์เริ่มเปลี่ยนมาใช้กล้องดิจิตอลกันขนานใหญ่ โดยจำหน่ายในราคา 16,950 ดอลล่าร์สหรัฐ ต่อมาก็เปลี่ยนไปใช้บอดี้ Nikon F90x ใช้ชื่อรุ่นว่า DCS 420

               ค่ายฟูจิฟิล์มก็ร่วมมือกับนิคอนเปิดตัวกล้องดิจิตอล SLR เช่นกันในชื่อรุ่น Fuji DS-505 และ DS-515 ส่วน Nikon ใช้ชื่อรุ่น E2 และ E2S ใช้ CCD ขนาด 2/3 นิ้ว ขนาดภาพ 1280 x 1000 พิกเซล ความไวแสงสูงสุด ISO 800 และ 1600

         ปี 1995 โกดักได้ปลุกกระแสทางด้านภาพดิจิตอลครั้งใหญ่ โดยการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ของโกดักที่เรียกว่า โฟโต้ซีดี เพียงส่งฟิล์มเนกาตีฟสีหรือฟิล์มสไลด์สีไปสแกนลงแผ่นซีดีรอม ก็จะได้ภาพดิจิตอลสำหรับนำมาใช้งานทันที ซึ่งในปีเดียวกันนิตยสารชัตเตอร์ฯ ก็ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ โฟโต้ซีดี ด้วยการนำภาพจากฟิล์มสไลด์ไปทำเป็นโฟโต้ซีดีแล้วนำภาพมารีทัชซ้อนฉากหลังเข้าไป จากนั้นตีพิมพ์เป็นภาพหน้าปก

ปีเดียวกันโกดักร่วมมือกับแคนนอนเป็นครั้งแรกในการผลิตกล้องดิจิตอล SLR ในชื่อรุ่น EOS DCS 3 ใช้บอดี้ EOS-1N ซึ่งเป็นกล้องระดับมืออาชีพรุ่นสูงสุดของแคนนอนในยุคนั้น โดยใช้เซ็นเซอร์ภาพขนาด 16.4 x 20.5 มม. ความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซล แสดงสีได้ 36 บิต (RGB) ขนาดภาพ 1268 x 1012 พิกเซล ความไวแสง ISO 200 - 1600 และอีกรุ่นคือ EOS DCS - 1 เป็นกล้องที่มีความละเอียดสูงมากถึง ล้านพิกเซล ใช้ CCD ขนาด 18.4 x 27.6 มม. ขนาดภาพ 3,060 x 2,036 พิกเซล จัดเก็บภาพด้วยฮาร์ดดิสก์ชนิดถอดออกได้ ความจุ 340 MB บันทึกภาพความละเอียดสูงได้ 53 ภาพ

ปีเดียวกัน Casio ได้เปิดตัวกล้องดิจิตอลสำหรับผู้ใช้ทั่วๆไปที่มีจอมอนิเตอร์ในตัวเป็นรุ่นแรกของโลก จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครคือส่วนของเลนส์ปรับพลิกหมุนได้ ใช้เซ็นเซอร์ CCD ขนาด 1/5 นิ้ว ความละเอียด 460 x 280 พิกเซล มีหน่วยความจำในตัวจัดเก็บภาพได้ 96 ภาพ มีช่องวิดีโอสำหรับเปิดชมภาพจากโทรทัศน์หรือเครื่องบันทึกวิดีโอเปิดชมภาพได้จากจอมอนิเตอร์ เลือกดูทีละภาพหรือภาพเล็ก 4/9 ภาพ

ทางด้านฟูจิฟิล์มก็เปิดตัวกล้องดิจิตอลรุ่น DS-220 ระบบออโต้โฟกัสมีเลนส์ซูมในตัวขนาด 36 x 72 มม. มีแฟลชในตัวใช้ CCD ขนาดภาพ 640 x 480 พิกเซล และมีอุปกรณ์เสริมเป็นจอมอนิเตอร์สำหรับดูภาพต่อเข้าทางด้านข้าง
สำหรับ Minolta ได้เปิดตัวกล้องดิจิตอล SLR ในรุ่น RD - 175 ใช้บอดี้จากกล้อง 35 มม. SLR รุ่น 500si เซ็นเซอร์ภาพ CCD ความละเอียด 380 K ขนาดภาพ 1528 x 1146 พิกเซล ใช้ได้กับเลนส์ และแฟลชของ Minolta

Ricoh ผู้ผลิตกล้องถ่ายภาพอีกรายได้ผลิตกล้องดิจิตอลที่สร้างความแปลกใหม่   ในรุ่น RDC-1 เป็นกล้องตัวแรกของโลกที่ถ่ายได้ทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง มีจอมอนิเตอร์ LCD ขนาดใหญ่ถึง 2.5 นิ้ว จัดเก็บภาพ และเสียงด้วยพีซีการ์ดขนาด 24 MB

ปี 1996 นับเป็นปีที่มีกล้องดิจิตอลจากผู้ผลิตรายต่างๆ มากขึ้น อาทิ Agfa ePhoto 307 ความละเอียด แสนพิกเซล Canon PowerShot 600 เซ็นเซอร์ CCD ขนาด 1/3 นิ้ว ความละเอียด แสนพิกเซล Casio QV - 300 ความละเอียด แสนพิกเซล Kodak DC 20 กล้องดิจิตอล ราคาประหยัด ความละเอียด 1.8 แสนพิกเซล มีหน่วยความจำในตัวขนาด 1 MB Fuji DS - 8 เซ็นเซอร์ 1/3 นิ้ว ความละเอียด แสนพิกเซล


ส่วนกล้องคอมแพคความละเอียดสูงก็มี Kodak DC - 120 ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล มีจอมอนิเตอร์ทางด้านหลัง เลนส์ซูมขนาด 38 - 114 มม. f/2.5 นอกจากนี้ Konica และ Kyocera ก็ได้เปิดตัวกล้องดิจิตอลของตัวเองเป็นครั้งแรกในปีนี้ โดยมีความละเอียด แสนพิกเซล หรือ 640 x 480 พิกเซล เหมือนกล้องคอมแพคดิจิตอลทั่วๆไป

















                Nikon ก็สร้างความแปลกใหม่ด้วยการเปิดตัวกล้อง Coolpix 100 เซ็นเซอร์ 1/3 นิ้ว ใช้ CCD ที่ให้ขนาดภาพ 512 x 480 พิกเซล เลนส์ 52 มม. หลังจากถ่ายภาพแล้วนำกล้องไปเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ทางช่อง PCMCIA เพื่อโหลดภาพได้ทันที และมีรุ่น Coolpix 300 ความละเอียด แสนพิกเซล มีจอมอนิเตอร์ทางด้านหลัง

ในปีเดียวกันนี้ Olympus ได้เปิดตัวกล้องดิจิตอลรุ่น D - 200 L ใช้ CCD ความละเอียด แสนพิกเซล และรุ่นอื่นๆอีกหลายรุ่น รวมทั้งรุ่น 800 L ที่มีความละเอียด แสนพิกเซล ซึ่งชัตเตอร์ฯก็ได้นำมาทดสอบและตีพิมพ์เป็นบทความในปีนี้

ส่วนกล้องความละเอียดระดับล้านพิกเซลก็มีของ Polaroid รุ่น PDC-2000


















          

                 ปี 1997 เป็นปีที่มีกล้องดิจิตอลจากผู้ผลิตนับสิบยี่ห้อ ทั้งจาก Nikon, Canon, Minolta, Olympus, Kodak, Fujifilm, Casio, Epson, Konica, Kyocera, Panasonic, Ricoh, Samsung, Sanyo, Sony, Sharp, Toshiba, Vivitar และอื่นๆอีกมากมาย กล้องส่วนใหญ่ให้ขนาดภาพ 640 x 480 พิกเซล มีเพียงบางรุ่นที่เกิน ล้าน พิกเซล เช่น Olympus Camedia C-1400L ความละเอียด 1.4 ล้านพิกเซล ออกแบบรูปทรงเป็นตัวแอล (L) คล้ายกับกล้อง SLR Kodak DC210 ความละเอียด ล้านพิกเซล จัดเก็บภาพด้วยการ์ด Fuji DS-300 ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล

ปี 1998 ในปีนี้กล้องดิจิตอลถูกผลิตขึ้นมากอีกกว่าหนึ่งเท่าตัว ส่วนใหญ่มีความละเอียด 1.2-1.5 ล้านพิกเซล โดยมีกล้องที่โดดเด่นคือดิจิตอล SLR ของโกดักรุ่น DCS 520 ใช้บอดี้ Canon ES1N ความละเอียด ล้านพิกเซลจัดเก็บภาพด้วยฮาร์ดดิสก์ PCMCIA Type III 340 MB


ส่วนกล้องสำหรับผู้ใช้ทั่วไปก็มีของ Canon Pro 70 เป็นกล้องแบบ SLR ที่มีรูปทรงสวยงามทันสมัย เลนส์ซูม 28-70 มม. มีฮอทชูเสียบแฟลชภายนอก ความละเอียด 1.5 ล้านพิกเซล

ทางด้านโซนี่ก็เปิดตัว Mavica FD-71 ที่จัดเก็บภาพด้วยแผ่นฟล็อปปี้ดิสก์ ถ่ายภาพเสร็จนำแผ่นไปเปิดดูที่คอมพิวเตอร์ได้ทันที ความละเอียด แสนพิกเซล และรุ่น FD-91 ความละเอียด ล้านพิกเซล

ปี 1999 ตลาดกล้องดิจิตอลเติบโตขึ้นมาก ในแต่ละเดือนมีกล้องรุ่นใหม่ๆหลายสิบรุ่น ส่วนใหญ่มีความละเอียดที่ ล้านพิกเซลเพียงพอกับการนำไปอัดขยายภาพขนาด 4 x 6 นิ้ว ให้คุณภาพดีพอสมควร แม้ว่าจะยังห่างไกลกับการใช้ฟิล์ม แต่ก็พอยอมรับได้ และ Olympus ก็เปิดตัวกล้องตระกูล เป็นครั้งแรกในรุ่น C-2020

Minolta เปิดตัวกล้องดิจิตอล SLR ใช้เลนส์จากกล้อง APS ได้รุ่น RD3000 ความละเอียด 2.7 ล้านพิกเซล Canon ก็มีกล้องคอมแพคขนาดเล็กรูปทรงสวยงามมากในชื่อรุ่น Powershot S10 ความละเอียด 2.1 ล้านพิกเซล ค่าย Sony เปิดตัว DSC-F505 กล้องรูปทรงตัวแอล (L) บอดี้กับเลนส์ปรับพลิกหมุนได้ เรียกความสนใจได้มากทีเดียว และเน้นการจัดเก็บภาพด้วยการ์ดที่พัฒนาขึ้นมาเองเรียกว่า Memory Stick


ส่วน Nikon ก็เปิดตัวกล้องดิจิตอล SLR ระดับมืออาชีพที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างน่าทึ่งรุ่น D1 ความละเอียด 2.7 ล้านพิกเซล ใช้พื้นฐานมาจากกล้องฟิล์มระดับโปรรุ่น F100 และ F5 ใช้ได้กับเลนส์ แฟลชและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักถ่ายภาพมืออาชีพทั่วโลก ซึ่งนิตยสารชัตเตอร์ฯก็ได้เลือกกล้องรุ่นนี้มาใช้งานในปลายปี 1999 และทดสอบตีพิมพ์ในนิตยสารชัตเตอร์ฯในเวลาต่อมา

ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน กล้องดิจิตอลมีการพัฒนาอย่างมาก ในแต่ละปีมีกล้องรุ่นใหม่ๆ จากหลายสิบยี่ห้อนับร้อยรุ่น ตั้งแต่กล้องคอมแพคตัวเล็กๆ จนถึงกล้องรุ่นใหญ่สำหรับมืออาชีพ ความละเอียดเพิ่มมากขึ้นจาก 2, 3, 4 เป็น ล้านพิกเซล กล้องคอมแพคบางรุ่นในวันนี้เช่น Sony DSC-F828 มีความละเอียดสูงถึง ล้านพิกเซล ส่วนดิจิตอล SLR ก็ขึ้นไปถึง 14 ล้านพิกเซลในKodak DSC-Pro14n
กล้องรูปทรงแปลกๆ ใหม่ๆ ถูกผลิตออกมามากมาย บางรุ่นบางเฉียบเหมือนบัตรเครดิต บางรุ่นหน้าตาแทบไม่ต่างกับกล้องใช้ฟิล์ม แต่ที่น่าสนใจมากคือในขณะท่ีคุณภาพดีมากขึ้น ราคากลับลดลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกล้องดิจิตอล SLR ระดับ ล้านพิกเซล จากราคานับล้านบาทเมื่อสี่ปีก่อน เหลือไม่ถึงห้าหมื่นบาทในปีนี้ รวมไปถึงอุปกรณ์ทีเกี่ยวข้องเช่น การ์ด CF 128 MB ที่มีราคาประมาณ 20,000 บาท ในปี 2000 ถึงปีนี้ลดเหลือเพียงพันกว่าบาทเท่านั้น ส่งผลให้ตลาดกล้องดิจิตอลมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด จากเดิมในปี 1996 มียอดขายกล้องดิจิตอลทั่วโลก ประมาณ ล้านตัว แต่ในปี 2002 ที่ผ่านมา มียอดขายมากกว่า 30 ล้านตัว ส่วนในเมืองไทยของเราก็มียอดขายนับแสนตัวและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ผู้จัดทำ 5310122532018



5.ระบบอินเตอร์เน็ต


วิวัฒนาการของอินเตอร์เน็ต
ในสมัยแรก ๆ อินเตอร์เน็ตได้ถูกใช้ในหมู่นักวิจัยเท่านั้น การใช้งานค่อนข้างยาก ต้องพิมพ์คำสั่งยาว ๆ ไม่มีรูปภาพสวยงามเหมือนในปัจจุบัน บริการที่นิยมใช้กันในสมัยนั้นได้แก่ จดหมายอิเล็กทรอนิคส์ (Email) แหล่งพูดคุย (IRC , USENET) การเข้าใช้เครื่องที่อยู่ระยะไกล (Telnet) การใช้งานฐานข้อมูลระยะไกล (WAIS , Archie) และ Veronica และใช้ในการส่งไฟล์ระหว่างหน่วยงานรัฐ บริษัท และมหาวิทยาลัย (FTP และ Gopher)
อินเตอร์เน็ตยุคใหม่ ที่มีรูปภาพสวยงามและใช้งานง่าย เพิ่งกำเนิดขึ้นมาในปี 2534 นี้เอง บริการแรกที่ถูกเปลี่ยนมาใช้ในแบบนี้ คือ WWW (World Wide Web) ซึ่งได้กลายมาเป็นบริการหลักของอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน

ระบบอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย
โครงสร้างของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย (พ.ย. 2545) ปัจจุบันประกอบด้วย ISP 18 ราย และผู้ให้บริการแบบไม่หวังผลกำไรอีก 4 ราย แต่มีรูปแบบช่องรับ/ส่งสัญญาณที่แตกต่างกันออกไป   ทั้งนี้ ISP ทุกราย (ทั้งเชิงพาณิชย์และไม่หวังผลกำไร) จะต้องเช่าช่องสัญญาณจากจากผู้ให้บริการวงจรสื่อสารอีกต่อหนึ่ง โดยแบ่งเป็น

ช่องสัญญาณการเชื่อมต่อภายในประเทศ - ISP สามารถเลือกเช่าช่องสัญญาณได้โดยเสรี ทั้งจาก ทศท., กสท., TelecomAsia, DataNet โดยวงจรของทุกราย จะเชื่อมต่อกับจุดแลกเปลี่ยนสัญญาณภายในประเทศ เพื่อความรวดเร็วในการแลกเปลี่ยนข้อมูล นั่นคือ การติดต่อสื่อสารระหว่างคู่สื่อสารในประเทศไทย สามารถทำได้สะดวก ไม่ว่าคู่สื่อสารนั้น จะใช้บริการของ ISP รายใดก็ตาม ทั้งนี้จุดแลกเปลี่ยนในปัจจุบันได้แก่ IIR (Internet Information Research) ของเนคเทคและ NIX (National Internet Exchange) ของ กสท.
ช่องสัญญาณการเชื่อมต่อระหว่างประเทศ - ISP จะต้องผ่าน กสท. เท่านั้น เนื่องจากกฎหมายปัจจุบันยังไม่ให้อนุญาตให้ทำการส่งข้อมูลเข้า-ออกของไทย โดยปราศจากการควบคุมของ กสท. โดย ISP จะเชื่อมสัญญาณเข้ากับ IIG(International Internet Gateway)

บริการต่าง ๆ ในอินเตอร์เน็ต

เครือ ข่าย อินเตอร์ เนต เป็น เครือ ข่าย ที่ มี การ เชื่อม โยง กัน ไป ทั่ว โลก ใน แต่ ละ เครือ ข่าย ก็ จ ะมี เครื่อง คอมพิวเตอร์ ที่ ทำหน้า ที่ เป็น ผู้ ให้ บริการ ซึ่ง เรียกว่า เซิร์ฟเวอร์ (server) หรือ โฮสต์ (host) เชื่อม ต่อ อยู่ เป็น จำนวน มาก ระบบ คอมพิวเตอร์ เหล่า นี้ จะ ให้ บริการ ต่าง ๆ แล้ว แต่ ลักษณะ และ จุด ประสงค์ ที่เจ้า ของ เครือ ข่ายนั้น หรือ เจ้า ของ ระบบ คอมพิวเตอร์ นั้น ตั้ง ขึ้น ในอดีต มัก มี เฉพาะ บริการ เรื่อง ข้อมูล ข่าวสาร และ โปรแกรม ที่ใช้ ใน แวดวง การ ศึกษา วิจัย เป็น หลัก แต่ ปัจจุบัน ก็ ได้ ขยาย เข้า สู่ เรื่อง ของ การ ค้า และ ธุรกิจ แทบ จะ ทุก ด้าน บริการ ต่าง ๆบน อินเตอร์เนต อาจ แบ่ง ได้ เป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ ๆ ดังนี้

1. บริการด้านการสื่อสาร
     
 ไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ผู้ใช้ บริการ สามารถ ติด ต่อ รับ-ส่ง ไปรษณีย์ อิเล็ก ทรอนิกส์ หรือ E-mail กับ ผู้ ใช้อินเตอร์ เนต ทั่ว โลก กว่า 20 ล้าน คน ได้ โดย ไม่ ต้อง เสียค่า ใช้ จ่าย เพิ่ม เติม และ ยัง สะดวก รวดเร็ว ทันใจ ด้วย


สนทนาแบบออนไลน์ ผู้ใช้ บริการ สามารถ คุย โต้ตอบ กับ ผู้ใช้ คน อื่น ๆ ใน อินเตอร์ เนต ได้ ในเวลา เดียว กัน (โดย การ พิมพ์ ทาง คีย์ บอร์ด) ซึ่ง ก็ สนุก และ รวด เร็ว ดี บริการ สนทนา แบบ ออนไลน์ นี้ เรียก ว่า Talk เนื่อง จาก ใช้ โปร แกรม ที่ชื่อ ว่า Talk ติดต่อ กัน หรือ จะ คุย กัน เป็น กลุ่ม หลาย ๆ คน ใน ลักษณะ ของ Chat (Internet Relay Chat หรือ IRC) ก็ได้


     

Newsgroup เป็น การ ให้ บริการ ใน ลักษณะ ที่แบ่ง เป็น กลุ่ม ย่อย ๆ จำ นวน หลาย พันกลุ่ม เรียกว่า กลุ่ม Newsgroup ทุกๆ วัน จะ มี ผู้ส่ง ข่าว สาร กัน ผ่าน ระบบ ดัง กล่าว โดย แบ่ง แยก ออก ตาม กลุ่ม ที่ สนใจ เช่น กลุ่ม ผู้ สนใจ ศิลปะ, กลุ่ม ผู้ สนใจ เพลง ร็อค เป็นต้น


·        Telnet ใน กรณี ที่ ผู้ ใช้ ต้องการ ใช้งาน เครื่อง คอมพิวเตอร์ เครื่อง อื่น ซึ่ง ตั้ง อยู่ ไกล ออก ไป ก็ สามารถ ใช้ บริการ Telnet เพื่อ ใช้ งาน เครื่อง ดัง กล่าว ได้ เหมือน กับเรา ไป ใช้ เครื่อง นั้น เอง โดย จำลอง คอมพิวเตอร์ ของ เรา ให้ เป็น เสมือน จอ ภาพ บน เครื่อง คอมพิวเตอร์ นั้น ได้


FTP บริการ โอนย้าย ไฟล์ ข้อมูล ถ้า ผู้ ใช้ต้อง การ โอนย้าย ไฟล์ ข้อมูล หรือ ไฟล์ โปรแกรม ต่าง ๆ ก็ อาจ เรียก ใช้ FTP หรือ File Transfer Protocol ซึ่ง จะช่วย ให้ ผู้ ใช้ ติด ต่อ เข้า สู่ เครื่อง คอมพิวเตอร์ ที่ต้อง การ ใน อินเตอร์เนต และ ดาวน์โหลด หรือ โอนย้าย ไฟล์ ที่ ผู้ ใช้ ต้องการ มา ใช้ ได้

2. บริการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ

1.       อินเตอร์เนต World Wide Web เป็น บริการ ที่ แพร่ หลาย และ ขยาย ตัวเร็ว ที่สุด บน เรา สามารถ ที่ จะ ไป ดู ข้อ มูล ต่าง ๆ ได้ ทั่ว โลก เช่น ข้อ มูล ทาง วิทยาศาสตร์, ธุรกิจ, การ ศึกษา,มหาวิทยาลัย, โรงเรียน ต่าง ๆ ภาพยนตร์ ดนตรี และ อื่นๆ อีก มากมาย ซึ่ง ปัจจุบัน มีการ ผนวก รูปภาพ , เสียง , ภาพ เคลื่อนไหว ที่ เรา เรียกว่า เป็น แบบ มัลติมีเดีย ได้ และ สามารถ เชื่อม โยง ไป ยัง เอกสาร หรือ ข้อมูล อื่นๆ ได้โดยตรง


 2.   Gopher เป็น บริการ ค้นหา ข้อมูล แบบ ตาม ลำดับ ขั้น ซึ่ง มี เมนู ให้ ใช้ งาน ได้ สะดวก ลักษณะ การ ใช้งาน จะ คล้าย คลึงกับ ส่วนของ World Wide Web โดย ผู้ ใช้ สามารถ เลือก เข้า ไปดู ตาม หัว ข้อ ที่ มี อยู่ ลึก ลง ไป ได้ อีก แต่ ข้อมูล ส่วน ใหญ่ จะ เป็นใน เชิง วิทยาศาสตร์ และ การ วิจัย













ผู้จัดทำ  531012253032



6.โทรทัศน์



                       ในช่วงเวลาที่วิทยุในต่างประเทศกำลังเติบโตและเป็นที่นิยมมากมาย นักประดิษฐ์และเจ้าของกิจการวิทยุเริ่มหันมาให้ความสนใจในการพัฒนาเทคโนโลยีโทรทัศน์ด้วย
ก่อนอื่นมารู้จักคำว่า TELEVISION กันก่อน คำนี้มาจากคำว่า TELE ในภาษากรีก แปลว่า ระยะไกล” + VISION ในภาษาละติน แปลว่า การเห็นรวมกันก็คือ การเห็นในระยะไกล หรืออีกแง่ก็คือ การส่งภาพจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งได้ในระยะไกลนั่นเอง
จากการส่งเพียงเสียงไปตามคลื่นวิทยุ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ ต้องการส่งภาพบ้างแล้ว ซึ่งในการจะทำเช่นนั้น นักวิทยาศาสตร์ต้องหาคำตอบทางเทคนิคใน 4 เรื่องที่สำคัญคือ
1.    อุปกรณ์ที่จะเปลี่ยนแสงเป็นคลื่นไฟฟ้า
2.    อุปกรณ์ที่จะเปลี่ยนคลื่นไฟฟ้ากลับเป็นแสง
3.    อุปกรณ์ที่สแกนภาพให้เป็นส่วนเล็กๆ
4.    อุปกรณ์ที่เพิ่มสัญญาณไฟฟ้าให้แรงขึ้นจนถึงระดับที่สามารถใช้ส่งได้





อุปกรณ์ที่จะเปลี่ยนแสงเป็นคลื่นไฟฟ้า และ เปลี่ยนคลื่นไฟฟ้ากลับเป็นแสง
                
               เทคนิคในการส่งภาพนั้น คือ แสงกระทบที่วัตถุแล้วสะท้อนเข้าสู่ตัวรับแสง แล้วแปลงแสงนั้นให้เป็นคลื่นไฟฟ้าเพื่อส่งเป็นสัญญาณไปกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และเมื่อไปถึงเครื่องรับก็ต้องมีการแปลงคลื่นไฟฟ้านั้นกลับเป็นแสงและแสกนลงบนจอรับ เพื่อให้ภาพปรากฎต่อสายตาผู้รับ

อะไรคือเทคโนโลยีที่จะมาช่วยในเรื่องนี้?
            ย้อนกลับไปเมื่อราวปี พ.ศ 2413 นักวิทยาศาสตร์พัฒนาเป็น โฟโตอิเล็กทริก (photoelectronic cell) เป็นหลอดผลิตไฟฟ้าจากแสงสว่างสามารถที่จะเปลี่ยนแสงเป็นคลื่นไฟฟ้า ส่งสัญญาณภาพที่รับเป็นแสง แปลงเป็นไฟฟ้า แล้วส่งไปยังเครื่องรับ เพื่อแสดงภาพออกมา

พอล นิพโกว กับ กลไกการแพร่ภาพยุคแรก
           ปี พ.ศ. 2426 พอล นิพโกว นักประดิษฐ์ชาวเยอรมันได้ความคิดเกี่ยวกับการส่งสัญญาณโทรทัศน์จากการมองดูกระแสไฟที่ส่องจากช่องของตะเกียงน้ำมัน แล้วคิดว่า แสงสามารถผ่านรูเล็กๆ นั้นออกมาได้ เขาจึงเริ่มทำการประดิษฐ์ทดลองการแพร่ภาพโดยสร้างอุปกรณ์ที่เรียกว่า “นิพโกวดิสก์” (Nipkow Disk) เพื่อใช้แยกภาพเพื่อส่งสัญญาณไปยังเครื่องรับ
นิพโกวดิสก์มีลักษณะเป็นจานกลมเจาะรูเล็กๆ โดยรอบ ในการแพร่ภาพจะวางวัตถุไว้หลังจานกลมที่เจาะรูนั้น แล้วหมุนจานด้วยความเร็วสูง แสงที่ส่องไปที่วัตถุ จะส่งภาพผ่านรูเล็กๆ ออกไป แสงที่ลอดออกไปถูกแปลงเป็นกระแสไฟฟ้า ไปที่จานรับอีกอันซึ่งหมุนเร็วที่สัมพันธ์กันกับจานส่ง ก็จะแปลงกระแสไฟฟ้ากลับเป็นภาพให้ปรากฎบนจอเครื่องรับได้



ถึงแม้ว่าจะสามารถทำให้ภาพปรากฎขึ้นบนจอได้ แต่ก็ยังไม่สามารถแพร่ภาพไปที่ไกลๆ ได้ เพราะ ขาดอุปกรณ์ขยายสัญญาณ แต่ก็ถือว่าเป็นต้นแบบของ ระบบการส่งสัญญาณโทรทัศน์แบบ “กลไก”


จอห์น แบร์ด และโทรทัศน์ระบบกลไก
                   จอห์น แบร์ด นักประดิษฐ์ชาวสก๊อต นำแนวคิดของนิพโกวมาพัฒนาต่อจนประสบความสำเร็จ เรียกว่า โทรทัศน์ระบบกลไก โดยได้จัดสาธิตให้สาธารณชนดูที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
แบรด์ทดลองส่งสัญญาณเป็นภาพขาวดำความละเอียด 30 เส้นในลักษณะแสกนภาพแนวตั้ง ด้วยความเร็ว 5 เฟรมต่อ 1 วินาที ซึ่งภาพแรกที่เขาสามารถส่งสัญญาณข้ามห้องทดลองของเขาได้คือ ภาพ Stooky Bill จากนั้นเขาก็มีการทดลองพัฒนาต่อไป จนสามารถแสดงผลงานต่อหน้าสาธารณะได้ โดยสามารถสร้างภาพเคลื่อนไหวบนจอภาพขาวดำได้สำเร็จ
 


โทรทัศน์ระบบอิเล็กทรอนิกส์
ในขณะที่อังกฤษตื่นตัวกับโทรทัศน์ระบบกลไก นักประดิษฐ์ในอเมริกาให้ความสนใจกับการพัฒนาโทรทัศน์ระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยในเวลานั้น มีนักประดิษฐ์สองคนที่พัฒนางานขึ้นมาพร้อมๆ กับคือ วลาดิเมีย สวอริกิน และ ไฟโล ฟานเวิร์ธ โดยทั้งคู่ต่างก็อ้างว่าตนเป็นคนแรกที่ประดิษฐ์โทรทัศน์ระบบนี้ขึ้น แต่หลังจากที่มีการขึ้นศาลเพื่อพิสูจน์กัน ฟานเวิร์ธชนะ ได้สิทธิบัตรไปครอง เพราะตอนขึ้นศาลครูมัธยมเอาหลักฐานภาพที่เขาเคยวาดกลไกการส่งสัญญาณภาพโทรทัศน์สมัยเป็นนักเรียนมาแสดง ทำให้ศาลตัดสินว่าเขาเป็นผู้ที่คิดเทคโนโลยีนี้ได้ก่อนและให้สิทธิบัตรอยู่ในครอบครองของเขา



การทำงานของระบบอิเล็กทรอนิกส์


              การทำงานของโทรทัศน์ระบบอิเล็กทรอนิกส์ จะต่างจากระบบกลไก ตรงที่ไม่ได้ใช้จานหมุนๆ แต่มีอุปกรณ์สำคัญคือ ปืนอิเล็กตรอน ที่จะอยู่ในเครื่องส่งและเครื่องรับ และ หลอดวิทยุที่ทำหน้าที่รับแสงและปล่อยแสงออกมาเป็นคลื่นไฟฟ้า
การทำงานนั้นก็คือ ปืนอิเล็กตรอนในเครื่องส่งจะจับภาพและยิงภาพออกเป็นแสงเล็กๆ แทนที่จะใช้จานหมุน หลอดวิทยุที่มีความไวต่อการรับแสงจะแปลงแสงให้กลายเป็นคลื่นไฟฟ้า แล้วส่ง  ไปตามคลื่นวิทยุ
เมื่อไปถึงเครื่องรับ ปืนอิเล็กตรอนจะแสกนสัญญาณภาพที่ได้มาลงที่ผิวหลังของจอรับภาพ ทำให้เกิดภาพปรากฎขึ้นได้ โดยลักษณะการแสกนภาพของปืนอิเล็กตรอนสามารถทำได้ละเอียดกว่าจานหมุนของระบบกลไก ทำให้ ภาพที่ได้มีความ “คมชัด” มากกว่า

สถานีโทรทัศน์ และ การออกอากาศโทรทัศน์
ประเทศเยอรมันอ้างว่าตัวเองเป็นผู้ออกอากาศโทรทัศน์เป็นประจำเป็นที่แรกโดยระบบ 180 เส้น ในปี 2478 และต่อมาเปลี่ยนเป็นระบบ 441 เส้น
ส่วนอังกฤษ ซึ่งออกอากาศโทรทัศน์ในรูปแบบทีวีสาธารณะ ภายใต้ชื่อสถานีวิทยุโทรทัศน์บีบีซี (British Broadcasting Corporation – BBC) เริ่มออกอากาศเป็นประจำในปี 2479 พร้อมอ้างว่า ตนเองเป็นผู้ออกอากาศสัญญาณคมชัดในระบบ 240 เส้น (ระบบของจอห์น แบร์ด) เป็นแห่งแรก ซึ่งคมชัดกว่าของเยอรมัน
โทรทัศน์อเมริกาเริ่มออกอากาศทีวีต่อเนื่องหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในขณะที่ในเอเชียปี ค.ศ. 1953 ประเทศญี่ปุ่นได้ตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์แพร่ภาพออกอากาศเป็นทางการ คือ สถานีวิทยุโทรทัศน์เอ็นเอชเค (Nippon Hoso Kyokai – NHK)


การออกอากาศในยุคแรก
สมัยแรกๆ การออกอากาศโทรทัศน์ทำในห้องส่ง มีการใช้ไฟเยอะมาก ดังนั้น ดารา ทีมงาน คนอยู่หน้ากล้องจะต้องทนกับความร้อนของแสงมากทีเดียว นักแสดงสมัยนั้น ต้องทาหน้าเป็นสีม่วงเขียวเพื่อให้แสงกระทบและจับภาพเพื่อออกอากาศได้ดี รูปแบบรายการ การนำเสนอก็ยังทำอะไรได้ไม่มาก เนื่องจากความร้อนของแสงทำให้หลายครั้งมีภาพที่ไม่น่าดูออกมาบ้าง เช่น ฉากหิมะตก ที่ใช้กระดาษตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แทนที่จะตกลงมาพริ้วๆ กับตกลงมาติดตามตัวนักแสดง เพราะนักแสดงเหงื่อออกกันมาก หรือ โฆษณาของรถยนต์ฟอร์ด ที่ตั้งใจจะทำให้รถอยู่บนตู้ปลา ปรากฎว่า ความร้อนในห้องส่งทำให้ปลาในตู้ลอยตายหมด เป็นภาพที่ไม่น่าดู จึงทำให้คนยังไม่รู้สึกว่าทีวีเป็นสื่อที่น่าสนใจมากนัก
แต่ทีวี ก็มีการพัฒนามาเรื่อยๆ คนสำคัญที่พยายามทำให้ทีวีเป็นสิ่งน่าสนใจ คือ เดวิด ซานอฟ ของ RCA โดยเขานำทีวีไปออกงาน World Fair ซึ่งเป็นงานแสดงนวัตกรรมสำคัญ เขานำทีวีไปออกแสดงเพื่อให้คนรู้จัก และขายเครื่องรับโทรทัศน์ แต่ตอนนั้น ราคาก็ยังแพงอยู่ และคนก็ให้ความสนใจเพียงบางกลุ่ม
สมัยแรก ทีวีได้รับความนิยมยาก เพราะการผลิตที่ซับซ้อน รายการก็มีให้ดูน้อย ไม่ต่อเนื่อง ราคาเครื่องรับแพง ในขณะที่วิทยุกำลังเติบโต มีรายการที่น่าสนใจกว่ามาก คนจึงนิยมวิทยุมากกว่า


 
            จนต่อมา มีเซลล์แมนขายรถคนหนึ่งชื่อว่า ดูมองค์ เขาพยายามคิดค้นว่า จะผลิตทีวีราคาถูกได้อย่างไร และสามารถประกอบทีวีราคาย่อมเยาออกมาขายได้ ทำให้คนเริ่มซื้อทีวีดู ในขณะเดียวกันมีความร่วมมือถ่ายทอดรายการอย่าง กีฬาเบสบอลทำให้คนรู้สึกสนใจในรายการทีวี และ การดูโทรทัศน์มากขึ้น
            เมื่อมีการพัฒนารายการอย่างต่อเนื่อง โทรทัศน์จึงกลายมาเป็นสื่อทรงอิทธิพลทุกวันนี้


ผู้จัดทำ  531012253012


1 ความคิดเห็น:

  1. ความสนใจ:

    คุณกำลังมองหา บริษัท สินเชื่อทางการเงินที่แท้จริงเพื่อให้คุณกู้ยืมระหว่าง 50,000 ยูโรถึง 50,000,000 ยูโร (สำหรับสินเชื่อธุรกิจหรือ บริษัท สินเชื่อส่วนบุคคลสินเชื่อบ้านสินเชื่อรถยนต์สินเชื่อรวมหนี้เงินร่วมทุนเงินกู้เพื่อการดูแลสุขภาพ ฯลฯ ) หรือ คุณเคยถูกปฏิเสธการกู้ยืมเงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินเพราะสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งหรือไม่? สมัครทันทีและได้รับการดำเนินการและอนุมัติสินเชื่อทางการเงินจริงภายใน 3 วัน NOMARK LOAN FIRM เราคือ "ผู้ให้กู้สินเชื่อที่ได้รับการรับรองในระดับสากล" ที่ให้สินเชื่อทางการเงินจริงแก่บุคคลและ บริษัท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 2% พร้อมบัตรประจำตัวที่ถูกต้องของคุณ หรือหนังสือเดินทางระหว่างประเทศของประเทศของคุณสำหรับการตรวจสอบ การชำระคืนเงินกู้ของเราเริ่มต้น 1 (หนึ่ง) ปีหลังจากที่คุณได้รับเงินกู้และระยะเวลาการชำระคืนอยู่ระหว่าง 3 ถึง 35 ปี บริษัท ของเรายังต้องการบุคคลที่สามารถเป็นตัวแทน บริษัท ของเราในประเทศของคุณได้

    บริษัท NOMARK LOAN
    อีเมล: nomarkloanfirm@hotmail.com
    C.E.O นายโนมาร์คเวสลีย์

    ตอบลบ